หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

~Time

เวลา

จะพูดเรื่องของเวลา

เวลาสำคัญมาก เวลาคือตัวเร่งกราฟ

ทุกคนคงเคยสังเกตนะครับว่า

พอเข้า buy ปั๊บ แม่ม กราฟร่วงปุ๊บบ งง เลย

เข้าทีไรติดลบก่อนตลอด (ไม่นับ spread)

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเวลาที่คุณเข้าด้วย

เอาเวลาระยะยาวก่อน

ระยะยาวก็ว่ากันเป็น ช่วง 1 วัน
ก็คือตลาดของแต่ละประเทศ แต่ละค่าเงินนั้นเปิด

อันนี้ต้องขอขอบคุณหลายๆ เวบจาก ต่างประเทศ อันนี้ผมลืมจริงๆ

รู้สึกจะเกี่ยวกับ marketmaker มันเป็นหนังสือ แต่ผมอ่านไม่หมด

พูดไว้เรื่องของเวลาเช่นกัน

1. ช่วง Asean  ตลาดนี้เปิดจะเป็นการกำจัด demand ออกจากตลาด คือกำจัด order ตกข้าง
ที่เรียกว่า ไซด์เวย์นั่นเองครับ

2. ช่วง Euro zone จะเป็นช่วงเทรนหลอก มีการทำไรมากมาย เป็นช่วงเทรนหลอกๆ

3. ช่วง New York Time เทรนจริง รวดเร็วและแรง 

และจำไว้เสมอว่า นักลงทุนต้องปิด order ตัวเองให้มากที่สุดก่อนตลาดปิด ครับ

ข้างบนนั้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกนะครับ ตามเวบทั่วไป

 ต่อไปมาดู เวลา แบบ Time แบบ นาที กัน
จากที่เกริ่นไปข้างบน เวลา มีส่วนสำคัญมาก ของการเดินกราฟ

ทุกๆ 4 นาทีก่อนหมดเวลาของกราฟ 15 นาที

ลง อยู่ดีดี ก็ขึ้น ขึ้นอยู่ดีดีก็ลง มันจะเป็นแบบนี้ก่อนปิดแท่งครับ(ไม่ทุกครั้งแต่มากกว่า 90%)

 ยิ่งตอนก่อนหมดแท่ง Hr.  แม่เจ้า มันช่างแรงจริงๆ 

ที่พล่ามมาทั้งหมด ผมกำลังจะบอกว่า

" เราสามารถหา เวลา ที่ดีที่สุดในการเข้าได้ " 

จะหายังไง?  

ก็บอกแล้วว่า ทุกๆ 4 นาทีก่อนหมดแท่ง กราฟจะแรง 

เพราะฉะนั้น หากเราต้องการจะเข้า order เราก็เลือกเวลากันหน่อย

ยิ่งต้น ชม.  สำหรับคนอยู่กับกราฟบ่อยๆ จะรู้ว่า กราฟแรง ต้น ชม. จนไปถึง xx.11 น.

หลังจาก 11 นาทีก็จะมีการพักตัวเล็กน้อย แล้วอาจวิ่งต่อ หรือ ไปทางอื่นก็แล้วแต่
แต่ว่า pinbar ที่เกิดขึ้นช่วง ต้น ชม.  คือ จุดเข้าที่แม่นยำที่สุดครับ เพราะ เราจะไม่ต้องรอ order นาน

10 นาที ก็ได้ปิด order แล้วครับ บางครั้ง 5 นาที > 15 pips

สำหรับผมแล้ว ผมใช้เวลาเป็นจุดออก order ครับ ไม่ใช่ TP หรือ จำนวน pips

แล้วแต่เอาไปประยุกต์ 

สำหรับเรื่องของเวลาแบบนี้ ต้องยกเครดิตให้
ท่าน Price_secret_trader ได้มีโอกาสแนะนำ ชี้แนะ

ก็ได้เอามาต่อยอด ในความเข้าใจของตัวเอง จนทุกวันนี้

เรื่องของเวลา สำคัญมาก ยิ่งสำหรับคนเล่น วันต่อวัน เล่นสั้นมากๆ ต้องสังเกต

แต่สำหรับคนไม่คิดมาก รายละเอียดเล็กน้อย ก็ไม่เป็นไร

และอยู่กับคู่เงินนั้นๆ ที่เราเล่น รู้นิสัย รู้อารมณ์ของมัน เราถึงจะเป็นผู้ยืนอยู่เหนือกราฟ 1 ก้าว เสมอ

ไม่ใช่ผู้ตามหลังกราฟ ตลอดไป 

ทุกอย่างมีอยู่แล้วครับ รอการค้นหา

โชคดีครับ 

ชาบุ ชาบุ












วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

~Fundamental Trade(me)

การเทรดด้วยปัจจัยพื้นฐาน

อันนี้จะพูดในฐานะ ความมุ่นส่วนตัว
ไม่มีทฤษฏี ไม่มีหลักการ ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน

ฮาๆ

การเทรดด้วยปัจจัยพื้นฐาน 
แน่นอนครับ ว่าระดับเราๆ ก็คงต้องเทรดกับข่าว
อย่างผมก็ต้องดูข่าว ถ้าจะเทรด จะให้ไปวิเคราะห์เอง คงไม่ไหว ไม่มีฟามรู้
จากประสบการณ์อันน้อยนิด max EXP กระจึ๋งนึง ผมจะแบ่งออกเป็นสองประเภท
  1. ข่าวตามตาราง ที่สรุปผลประกอบการ เช่น  รายเดือน รายครึ่งปี รายปี บลา บลา บลา...
  2. ข่าวนอกตาราง เช่น สึนามิ เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย หนี้ นิวเคลียร์ บิลาเดน โลกแตก บลา บลา บลา.

สองอย่างงี้มันแตกต่างกันมากอยู่
สำหรับผม ผมแนะนำให้เทรดกับ อย่างที่ 2.
เหตุผลเพราะ
มันไม่ทันแหลก
นักลงทุนจะทำตามกระแสการคาดการณ์ 
กระแสความจริงมาก็ เท ทิ้งหมด คนถึงเสียกันเวลาเล่นข่าว
สำหรับประเภทที่สองผมแนะนำพวกเวบ www.ryt9.com อะไรแบบนี้
คาดการณ์ว่า อย่างงู้น อย่างงี้ นั่นแหละครับ 
ตอนค่ำๆ ก็เปิด order ทิ้งไว้เลยครับ ไม่ต้องกลัว 80% ไม่พลาด เพราะถ้าพลาดก็ล้างพอต
55555+
(ผมล้อเล่นง่ะ)
ก็หา SL กันเอาเอง ข่าวแบบใช้ดูแนวโน้มครับ ไม่ค่อยพลาดอย่างว่า (จริงจัง)
มันสามารถปล่อยไ้ด้จนตลาด นิวยอร์กปิด
 อย่างที่สองนี่ใช้เทรดได้จริงและเกือบทุกวัน
อ๊ะ? แต่ก็ใช่ว่าอย่างแรกใช้เทรดไม่ได้
อย่างที่ 1. การเทรดกับข่าวรตามตาราง
อันนี้จะเทรดได้บ่อยเหมือนกัน แต่ผมเฉยๆ ฮาๆ 
เราจะเทรดได้กับข่าว แดงๆ แร๊งๆ ถึงจะเห็นผล
เราจะไม่สนว่า ข่าวออกมาแดง หรือ เขียว หรือ ดำ หรือไม่ออก
ก่อนข่าวมามะไหร่ ไปตั้ง order รอเลยตามแนวรับแนวต้าน
แล้วต้องมีระยะพอด้วย ไม่ใช่ตั้งห่างกัน 10 จุดไรเงี้ย   = ="
เวลามันมาชนแนวรับ แนวจ้าน มันจะสะบัดพลิกคว่ำ
แล้วกำไรก็จะเป็นแก่เรา ไชโย~

ก็มีเท่านี้แหละครับ การเทรดกับปัจจัยพื้นฐาน
 


วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

~Leverage co Money Management

สำหรับเรื่อง Leverage 
จะเกี่ยวข้องกับ Money Management โดยตรง
Leverage คือ อำนาจที่โบรกเกอร์เพิ่มให้กับเราหรือแม้แต่ลดอำนาจทางการซื้อขาย
ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกแบบไหน เพื่อให้เหมาะกับการเทรดของเรา
เช่น
ผมมีเงิน 1 หน่วย
ผมเทรดกับโบรกเกอร์ที่ให้ Leverage 1:100
นั่นคือ 1 หน่วยของผม ผมสามารถแลกซื้อ 100 หน่วยได้นั่นเอง
นี่คืออำนาจทางการเงินที่ผมได้รับเพิ่มขึ้น

ผมเคยมีโอกาสได้เห็นโบรกเกอร์นึง หรือเวบไซด์นึง อย่างไรไม่ทราบจำไม่ได้
ต่างประเทศเขาเล่นกัน ด้วยความที่อยู่ในกะลา เพิ่งเคยเห็นก็ตกใจ อิอิ
เพราะเขาเทรดกันเหมือนหุ้นเลย เราเทรดกันเหมือนการพนัน
เขาเทรดกัน 50:1   100:1  อะไรแบบนี้
 เห็นแล้วก็..   = =

มาว่ากันต่อ
อันที่จริง MM มันไม่ต้องใช้หรอกครับ ถ้าไม่มี Leverage
เพราะว่า Leverage เป็นตัวคอยตัดเงินเราไง เวลาเราติดลบเยอะๆ
ผมเคยคุยกับคนเล่นหุ้นคนนึง เขาก็เล่าให้ฟังว่า
อันที่จริงแล้ว Forex กับ หุ้นมันต่างกันนิดหน่อย
"ตรงที่มันมี Leverage มาก(ผลตอบแทนสูง) แล้วก็ความผันผวนมาก"
แล้วหุ้นเนี้ย เขาจะไม่มีทางปิด order เราได้เลย เพราะมันไม่มี Leverage ตังค์เราล้วนๆ
แต่ Forex ไม่ใช่ เหมือนเราไปยืมตังค์โบรกเกอร์มาเทรดอ่ะครับ ง่ายๆ  555
โบรกเกอร์จะยอมเสียแทนเราได้ไง มันก็ต้องตัด order ที่ติดลบมากๆก่อนจะหมด พอต หรือหมดพอตพอดี

สรุปก็คือ Leverage เหมือนดาบสองคมแหละครับ
คำพูดติดปากก็ 
High Risk High Return
Low Risk Low Return

ต่อไปมาดูการคำนวน Leverage กันดีฟ่า
ผมสมมติเริ่มจากเทรดกับ 1:100 ก่อน

สูตรนี้ ผิดถูกอย่างไรต้องขอโทษไว้ก่อน เพราะผมมุ่นเอา 555+
แต่ก็ใช้ได้ครับ รับประกันด้วยพอตของท่าน
สมมการมีอยู่ว่า
pips/100 = Leverage*100% 
อธิบายก่อน
pips คือ ตัวแปรที่เราต้องการหา เป็นจำนวนจุดที่ติดลบ หรือบวก ได้เท่านี้ๆ
pips/100 นี่เราจะ Fix อยู่แล้วครับ นี่คือ quantity หรือหน่วยนั่นเอง
Leverage ก็คือ Leverage ของโบรกที่เราจะเทรด
ส่วน % นั้น ไม่ Fix ครับ ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการคิด Profit บวกลบ เป็นกี่ % ของที่เราลงไป

เช่น

ผมมีเงิน 100 เหรียญ ผมต้องการเทรด 10 % คือ 10 เหรียญ
นั่นคือ ผมอยากรู้ว่าใน Leverage ของโบรกนี้ผมลงไป 10 เหรียญ เนี้ย
ผมติดลบ หรือ บวกเท่าไหร่ผมถึงจะได้กำไร X%
 ในที่นี้ผมต้องการ 100% ของที่ลง นั่นคือ 10 เหรียญใช่ป่าวครับ (ใช่)
ก็ลง สมการเลยใน Leverage 1-100 นี้
pips/100 = 1/100*100%
pips = 100 
ตอบ 100 จุด
นั่นคือ ผมต้องบวก 100 จุดผมถึงได้ 10 เหรียญที่ลงไปนั้นมา กลับกันติดลบ 100 จุด 10เหรียญก็หายหมด

ถ้าสมมติ ไม่เอาง่ะ ผมเอา 50% ของที่ลงไปก็พอ คือ 5 เหรียญนั่นเอง
ก็คำนวนเอา
pips/100 = 1/100*50%
pips = 50 
ก็ 50 จุด

ต่อไปมาลอง Leverage อื่นๆ เอา 1:500 ละกัน ยอดฮิต ตังค์แยะ
pips/100 = 1/500 * 100%
pips = 20
โอ้ว รวยเลย บวกแค่ 20 จุดก็ได้ 10 เหรียญแล้ว อิอิ
.
.
.
แต่ถ้าลบ 20 จุด 10 เหรียญก็ไปเหมือนกัน ฮาๆๆ

สำหรับเรื่องของ Leverage ก็มีเท่านี้แหละครับ
ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาไปใช้ให้สอดคล้องกับระบบและ MM เราได้ขนาดไหน
แต่ผมย้ำว่าเรื่องนี้สำคัญ สำคัญยิ่งกว่าระบบอีก
โอเค~

บะบายยย  ^_^












~Money Management (me)

ผมจะให้ดูภาพนี้ครับ

ถ้าผมจะบอกว่า ผมจะบาย เิมื่อหลุดไฮ และ เซล เมื่อหลุดโล
เป็นการเล่นตามแนวโน้มธรรมดา
คราวนี้ มันก็ง่ายๆ แหละครับ แต่คนเสียเพราะอะไร
เพราะไม่ดู SL ไงครับ แล้ว TP ก็ไม่ได้เท่า SL เลย ระหว่าง High ถึง Low ในภาพนี้คือ 200 pips
ถ้าผมบายตอนหลุดไฮ แล้วมันลงมา SL ตรงโลผม
200 pips ผมตายแน่ๆ
แต่ถ้าโอเค ผมบอกว่าผมเล่นตามระบบ
เพราะผม SL ผมกลับตัวได้ สบาย ชิวๆ อยู่แล้ว 
แต่ผมจะเอาตัวรอดได้แน่นอนครับ ถ้าผมคำนวน SL
เมื่อได้ SL ก็มาคำนวน Lot ที่ลงต่อให้สอดคล้องกับ Leverage
สมมติผมมีเงิน 100 เหรียญ
ผมเล่นจุดละ 0.1 เหรียญ 
SL ผมคือ 200 pips x 0.1 = 20 เหรียญ 
นั่นคือ ถ้าผม SL ผมจะเสียทันที 20 เหรียญ
คราวนี้ผมจะเหลือเงินอีก 80 เหรียญ
ผมกลับตัวเป็นเซล คราวนี้ผมเพิ่ม Lot เล่นจุดละ 0.2 เหรียญ
ผมถามว่า ผมต้องได้กี่จุด ถึงจะได้ทุนคืน
นั่นคือ 100 จุด แต่อย่างที่บอกครับ TP ผมไม่ถึง 100 จุดแน่นอนครับ
อ่ะ ผมเพิ่ม Lot เล่นจุดละ 0.4 เหรียญ เลยละกัน
ผมก็จะต้องทำให้ได้ 0.4 x 50 pips = 20 เหรียญ
ผมต้องทำให้ได้ 50 จุดถึงจะได้ทุนคืน
ช้าง่ะ งั้นเล่นจุดละ 0.8 เหรียญดีกว่ากลับตัวเอาทุนคืนพร้อมกำไรไปเลย
เหลือ 25 จุดได้ 20 เหรียญคืน ชิวๆ
.
.
.
.
ดูภาพนี้ครับ
ภาพนี้ผมบายไปตั้งแต่ วงกลมหลุดไฮ น้ำเงินไปแล้ว
คราวนี้มันไม่ถึง TP ผมง่ะ ร่วงมา SL ซะงั้น 
อ่ะ กลับตัว
.
.
.
SL อีกรอบครับ 
คราวนี้ Lot ที่ผมเพิ่มมา เป็นดาบสองคมเลยครับ
ตาย...

สิ่งที่ผมจะบอกต่อไปคือ Money Management นั้น มันมาคู่กับระบบ
การเสียในระบบเรียกว่าการ ดรอดาวน์ 
การทำตามระบบเป็นสิ่งที่ดีครับ
แต่ระบบที่ดีมันมาคู่กับ MM(Money Management) ที่ดีเหมือนกัน
ถ้ามีคนพูดว่า
" ผมทำตามระบบ แต่ผมยังล้างพอต "
แหง่มอ่ะครับ ก็ระบบที่ไม่มี MM ดรอดาวน์ครั้งเดียว ก็หมดตูดได้เหมือนกัน
5555+


เรื่องนี้จะโยงไปถึง Leverage , Lot ,  Quantity
แล้วมาว่ากันใหม่ครับ